ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ทริคการเลือก และ 3 ยี่ห้อยอดฮิตในคลินิกความงาม

ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด ? คงเป็นคำถามที่ผู้เข้าวงการปรับรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์หลายคนสงสัย เพราะในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ให้เลือกหลายแบรนด์และหลายรุ่น แถมยังมีคุณสมบัติและจุดเด่นแตกต่างกันออกไปอีกด้วยค่ะ

สำหรับสาว ๆ คนไหนที่เลือกไม่ถูก ยี่ห้อนั้นก็ดี ยี่ห้อนี้ก็เด่น Gangdara จะพาไปดูกันค่ะ ว่าสิ่งที่ต้องรู้ก่อนเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง ? รวมถึงแนะนำฟิลเลอร์ 3 ยี่ห้อที่หลาย ๆ คลินิกเสริมความงามให้ความไว้วางใจ ว่ามีจุดเด่นอย่างไร และใช้ฉีดแก้ไขปัญหาผิวหน้าในจุดไหนได้บ้าง ? ไปดูกันเลยค่ะ 

ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี ? รวมสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือก

ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? 

ขอตอบตามตรงค่ะ ว่าไม่มียี่ห้อฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด มีแต่ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับคนฉีดที่สุด

แม้ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและรุ่น จะเป็นสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA: Hyaluronic Acid) เหมือนกัน แต่ก็ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ไม่เหมือนกันค่ะ ทำให้ได้ลักษณะเนื้อเจลและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปด้วย เพื่อให้คุณหมอสามารถใช้แก้ไขปัญหาบนใบหน้าได้อย่างเหมาะสม และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติในแต่ละบุคคลค่ะ

เกณฑ์การพิจารณา ว่าฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ?

สำหรับหลักเกณฑ์ที่จะช่วยในการพิจารณา ว่าฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ถึงจะเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด มีดังนี้

  • งบประมาณของผู้ฉีด ฟิลเลอร์ในปัจจุบันก็มีด้วยกันหลายราคาเลยค่ะ เริ่มต้นตั้งแต่ราคา CC ละหลักพันถึงหลักหมื่น (ประมาณ 7,900-18,000 บาท) ซึ่งสาว ๆ สามารถพูดคุยกับคุณหมอในเรื่องงบประมาณได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ ว่าจ่ายไหวแค่ไหน ถ้าบางยี่ห้อเกินงบไป ก็สามารถเลือกยี่ห้อที่ราคาถูกกว่าลงมาได้ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกันมากค่ะ แต่อายุการใช้งานอาจจะต่างกันเล็กน้อย
  • จุดที่จะฉีดหรือแก้ปัญหา เนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เนื้อแน่น เนื้อนิ่ม และเนื้อละเอียดค่ะ ซึ่งจะเหมาะกับการใช้แก้ปัญหาในจุดที่แตกต่างกัน หรือในบางจุดอาจจำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ 2 ชนิดร่วมกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่เป๊ะ ปัง เป็นธรรมชาติจนคนจับไม่ได้ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งฉีดในชั้นลึก เพื่อทดแทนการยุบตัวของกระดูก ร่วมกับการใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดฉีดเก็บรายละเอียดริ้วรอยใต้ตาเล็ก ๆ บนผิวชั้นตื้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น  
  • การรับรองมาตรฐานของฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? แน่นอนว่า ต้องเลือกยี่ห้อที่ผ่านการรับรองว่าปลอดภัยจากองค์กรที่เกี่ยวข้องค่ะ เช่น องค์กรอาหารและยา (อย. ไทย) องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) หรือมาตรฐาน CE (European Conformity) 
  • สภาพผิวของผู้ฉีด เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะเหมาะกับสภาพผิวหนังที่แตกต่างกันค่ะ เช่น ผู้ที่ผิวบาง และผิวแห้ง ควรเลือกฟิลเลอร์ที่กระจายตัวได้ดี เพื่อให้หลังฉีดเนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียนไปกับผิว และไม่เห็นเป็นก้อน
  • ส่วนผสมของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์บางยี่ห้อจะมีส่วนผสมของยาชา หรือลิโดเคน (Lidocaine) ค่ะ เพื่อให้ระหว่างฉีดคนไข้รู้สึกผ่อนคลาย และไม่เจ็บ โดยทั่วไปคลินิกเสริมความงามจะแปะยาชาให้ก่อนฉีดฟิลเลอร์อยู่แล้วนะคะ แต่ถ้าสาว ๆ คนไหนกลัวเจ็บมาก ๆ ก็สามารถเลือกฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมนี้ได้เช่นกันค่ะ

1. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm

จุดเด่นของยี่ห้อ

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านการรับรองทั้งจากอย.ไทย และ U.S. FDA ค่ะ โดยบริษัทที่นำเข้า คือ Allergan Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาของบริษัทผู้ผลิตนั่นเอง สำหรับจุดเด่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้จะอยู่ที่เป็นสาร HA ที่มีคุณภาพสูง และมีหลายรุ่น จึงสามารถใช้ได้กับทุกส่วนบนใบหน้าเลย 

เนื้อฟิลเลอร์มีความเรียบเนียน และมีส่วนผสมของยาชาในทุกรุ่นค่ะ สำหรับสาว ๆ ที่กลัวเจ็บมาก และสงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ก็ขอแนะนำยี่ห้อนี้เลย นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm ยังมีเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์ของแบรนด์อีก 2 อย่าง คือ 

  • Hylacross Technology จะมีในรุ่น Ultra Plus ค่ะ เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สาร HA อุ้มน้ำได้มาก หลังฉีดฟิลเลอร์ ถ้าสาว ๆ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ฟิลเลอร์ก็จะยิ่งฟูสวยค่ะ นอกจากนี้ยังมีความยืดหยุ่นสูง จึงเหมาะกับใช้ฉีดในจุดที่ขยับบ่อย ๆ เช่น ฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือฟิลเลอร์เติมแก้มตอบ
  • Vycross Technology จะมีในรุ่น Voluma, Volift, Volbella, Volite และ Volux ค่ะ เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้โมเลกุลของฟิลเลอร์ยึดเกาะกันแน่น เวลาฉีดไปแล้วผิวก็จะเรียบเนียน ดูเป็นธรรมชาติ และไม่เป็นก้อนค่ะ รวมถึงยังมีจุดเด่นในเรื่องการยกกระชับอีกด้วย นิยมใช้เติมร่องแก้ม หรือเติมความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก 

ฟิลเลอร์ Juvederm แต่ละรุ่น 

  • Juvederm Ultra Plus (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และฟูมาก เวลาฉีดฟิลเลอร์จะเต็มสวยค่ะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาร่องลึกตามวัย เช่น ร่องแก้ม และร่องน้ำหมาก 
  • Juvederm Voluma (อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และฟูปานกลาง เป็นรุ่นที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และยืดหยุ่นสูงมาก นิยมใช้แก้ปัญหาใต้ตา ร่องแก้ม คาง และขมับค่ะ
  • Juvederm Volift (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) สำหรับสาว ๆ ที่เป็นคนผิวบาง และสงสัยว่า ควรฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ฟิลเลอร์ Juvederm Volift ถือว่าเหมาะมากค่ะ เพราะเป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และละเอียดกว่ารุ่น Ultra Plus นิยมใช้เก็บรายละเอียด เช่น บริเวณใต้ตา ร่องแก้มชั้นตื้น หรือร่องมุมปากที่ไม่ลึกมาก 
  • Juvederm Volbella (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม และมีโมเลกุลขนาดเล็ก ที่ละเอียดมากที่สุด นิยมใช้กับจุดที่ต้องการความเรียบเนียน หลังฉีดดูเป็นธรรมชาติ และไม่เป็นก้อน เช่น ใช้เติมบริเวณหน้าผาก
  • Juvederm Volite (อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด สามารถใช้ใต้ตาหรือผิวชั้นตื้น เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวบางแต่ไม่มากเกินไป 
  • Juvederm Volux (อยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และมีโมเลกุลขนาดใหญ่ค่ะ  จึงมีความยืดหยุ่นสูง รวมถึงยังคงรูปได้ดี ทำให้สามารถปั้นทรงได้สวย นิยมฉีดบริเวณคาง ใต้ตา ขมับ และร่องแก้มชั้นลึก 

2. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane

จุดเด่นของยี่ห้อ

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ได้รับการรับรองจากทั้งอย.ไทย, U.S. FDA และมาตรฐาน CE ค่ะ ผลิตโดยบริษัท Galderma ถือเป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผลิตมาอย่างยาวนานที่สุดในโลกก็ว่าได้ และยังนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย

จุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ สาร HA ที่มีความปลอดภัย และใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายของเรา จึงไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง รวมถึงมีเทคโนโลยีในการผลิตขนาดโมเลกุลฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติที่หลากหลาย และเหมาะกับปัญหาผิวที่แตกต่างกันค่ะ โดยเทคโนโลยีที่สำคัญของยี่ห้อนี้ คือ    

  • NASHA Technology (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid Technology) จะมีในรุ่น Perlane Lyft, Vital Light, Classic, และ Vital เป็นเทคโนโลยีที่ป้องกันการแพ้ค่ะ เนื่องจากสารเติมเต็มในอดีตบางชนิดจะสกัดมาจากไขมันของสัตว์ และก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือบวมแดงได้ง่าย 

โดยฟิลเลอร์ที่มีเทคโนโลยีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ปี 1996 และได้รับการรับรองจาก U.S.  FDA และมาตรฐาน CE นอกจากนี้เทคโนโลยีนี้ยังมีจุดเด่นที่สาร HA มีความคงตัว เวลาฉีดฟิลเลอร์จะไม่ไหลไปตามบริเวณต่าง ๆ และมีเนื้อเจลทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ตามแต่ละรุ่น รวมถึงยังมีคุณสมบัติดึงโมเลกุลน้ำมาเก็บไว้ในเนื้อฟิลเลอร์ ช่วยทำให้ผิวดูฉ่ำวาว และสุขภาพดี

  • OBT Technology (Optimal Balance Technology) จะมีในรุ่น Defyne, Volyme, Refyne, และ Kysse เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่น เนื้อเจลคงตัว จึงสามารถปรับรูปทรงได้อย่างหลากหลาย และนิยมใช้แก้ปัญหาที่จำเป็นต้องเติมเต็มค่ะ เช่น ร่องลึก หรือผิวที่ตอบ  

ฟิลเลอร์ Restylane แต่ละรุ่น 

  • Restylane Perlane Lyft (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ที่ผสมยาชาในเนื้อฟิลเลอร์ มีความคงตัวสูง ฉีดแล้วไม่ฟู นิยมฉีดในผิวชั้นลึก หรือทดแทนโครงสร้างกระดูก เช่น ใต้ตา จมูก และคาง นอกจากนี้ใครกำลังมองหา ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ฉีดแก้มส้มได้ ขอแนะนำรุ่นนี้เลยค่ะ
  • Restylane Defyne (อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ที่ผสมยาชา ตัวเนื้อเจลจะมีความนิ่มปานกลาง และยืดหยุนสูง เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยลึก ที่เกิดจากการยิ้มค่ะ นิยมฉีดบริเวณ Midface เติมร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เสริมโหนกแก้ม หรือแก้ปัญหาใต้ตา 
  • Restylane Vital Light (อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีโมเลกุลเบา และเนื้อเจลอนุภาคขนาดเล็ก นิยมใช้เป็นสกินบูสเตอร์ ที่คืนความชุ่มชื้นให้กับผิว ปรับให้ผิวดูฉ่ำวาว และฟื้นฟูใบหน้าให้กระจ่างใส นอกจากนี้ยังสามารถใช้ฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดในผิวชั้นตื้น เช่น บริเวณใต้ตา ริมฝีปาก หรือริ้วรอยได้อีกด้วย 
  • Restylane Volyme (อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ตัวนี้มีส่วนผสมของยาชาค่ะ  ออกแบบมาเพื่อใช้เติมชั้นผิวให้ใบหน้าดูอิ่มฟู จึงนิยมใช้เติมจุดที่ลึกหรือตอบ เช่น แก้มตอบ มุมปาก ร่องแก้ม และริมฝีปาก
  • Restylane Refyne (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) เนื้อเจลมีความนิ่มและยืดหยุ่นสูง นิยมใช้แก้ปัญหาริ้วรอยจากการยิ้ม หรือเติมร่องริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ริมฝีปาก ร่องแก้ม และมุมปาก เป็นอีกตัวช่วยปรับให้ผิวดูอ่อนวัยได้ค่ะ นอกจากนี้ในรุ่นนี้ก็มียาชาผสมอยู่ด้วย
  • Restylane Classic (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อแข็งปานกลาง มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมากค่ะ นิยมฉีดกับร่องตื้น เช่น ร่องแก้มตื้น ๆ ร่องรอยขมวดคิ้ว ใต้ตา และริมฝีปาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้รุ่นนี้เก็บรายละเอียดผิวชั้นลึกสำหรับคนที่ผิวบางอีกด้วยค่ะ
  • Restylane Vital (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) สำหรับใครที่อยากรู้ว่า ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี เพื่อปรับสภาพผิว ? ขอแนะนำรุ่นนี้อีกรุ่นเลยค่ะ เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด และเกลี่ยง่าย ให้ผลลัพธ์ที่ดูเนียนเป็นธรรมชาติ ตัวช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว สามารถใช้เป็นสกินบูสเตอร์ หรือจะฉีดเติมริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก เช่น บริเวณใต้ตา หรือหน้าผาก
  • Restylane Kysse (อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่คงตัว เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ สามารถใช้สร้างขอบปากให้ชัด เติมความชุ่มชื้น และความอวบอิ่ม รวมถึงยังช่วยปรับให้สีริมฝีปากดูสดใสขึ้น แต่ก็สามารถใช้ฉีดในจุดอื่น ๆ ได้ตามเทคนิคของคุณหมอแต่ละท่าน 

3. ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero

จุดเด่นของยี่ห้อ

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าอย่างถูกกฎหมายโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผ่านการรับรองจากหลาย ๆ องค์กร เช่น อย. ไทย, U.S. FDA และมาตรฐาน CE รวมถึงยังได้รางวัล Best Injectable Product of the Year จากงานประกาศรางวัล Aesthetics Awards ที่กรุงลอนดอน ในปี 2014 อีกด้วย สำหรับฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้จะมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวกล่องสีสันสดใสและฉูดฉาดแบบตะโกน จนหลายคนอาจรู้จักกันในชื่อ Colorful Filler นั่นเอง ซึ่งกล่องแต่ละสีจะบอกรุ่นของฟิลเลอร์ค่ะ 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ยังไม่ได้มีดีแค่แพ็กเกจนะคะ แต่ยังผลิตด้วยเทคโนโลยี ที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของแบรนด์อย่าง CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและยึดเกาะกันเป็นเนื้อเดียว ใช้ปั้นทรงได้ดี เวลาฉีดจะเนียนและกลืนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน สาว ๆ ที่สงสัยว่า ถ้าผิวบอบบาง ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ขอแนะนำ Belotero เลยค่ะ

ฟิลเลอร์ Belotero แต่ละรุ่น

  • Belotero Intense (อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน) ฟิลเลอร์ที่ยืดหยุ่นสูง นิยมใช้แก้ปัญหาร่องลึก ที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อและผิวหนัง เช่น ร่องแก้ม และแก้มตอบ
  • Belotero Volume (อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน) รุ่นนี้ฟิลเลอร์จะมีความยืดหยุ่นและคงตัวค่ะ นิยมฉีดเพื่อทดแทนโครงสร้างของกระดูกที่ยุบตัว หรือฉีดเสริมกระดูก เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วน เช่น ใต้ตา คาง หรือโหนกแก้ม 
  • Belotero Soft (อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด และมีโมเลกุลขนาดเล็ก นิยมใช้เก็บรายละเอียด แก้ปัญหาริ้วรอยบนผิวชั้นนอก หรือแก้ใต้ตาค่ะ
  • Belotero Balance (อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน) ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง และมียาชาผสมค่ะ สามารถใช้เติมร่องลึกระดับปานกลาง หรือลดเลือนริ้วรอยให้ดูจางลง เช่น ฉีดระหว่างคิ้ว เติมแก้มตอบ ร่องแก้ม และร่องน้ำหมาก รวมถึงยังใช้เติมความชุ่มชื้นและปรับริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มน่าจุ๊บได้อีกด้วย
  • Belotero Revive (อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน) เป็นฟิลเลอร์รุ่นแรกเลยค่ะ ที่มีส่วนผสมทั้งกรดไฮยาลูรอนิก แอซิด และกลีเซอรอล (Glycerol) ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟู และเพิ่มประสิทธิภาพของผิวทั้ง 4 มิติ คือ ความอิ่มฟู ความเรียบเนียน ความเด้งกระชับ และความชุ่มชื้นฉ่ำวาว สาว ๆ คนไหนที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อที่เน้นงานผิว แนะนำตัวนี้เลยค่ะ

สรุปควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่สุด ? สาว ๆ คงเห็นกันแล้วว่าขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น สภาพผิว งบประมาณ และจุดที่ต้องการฉีด สำหรับใครที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำว่าให้เลือกยี่ห้อที่มีการรับรองมาตรฐานว่ามีความปลอดภัย จากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น อย.ไทย, U.S. FDA และ CE Marking รวมถึงควรปรึกษากับคุณหมอที่มากประสบการณ์ก่อนฉีด แค่นี้ทุกคนก็จะได้ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดแล้วค่ะ