ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) คืออะไร ? ทำไมเป็นสารเติมเต็มความอ่อนเยาว์ ที่ผิวขาดไม่ได้!
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)
ไฮยาลูรอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไฮยาลูรอนนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ สาร HA เป็นสารที่มีประโยชน์มากในการช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่น ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ทำให้กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญใน ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และยังใช้ใน การฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้า และลดริ้วรอย
สำหรับใครที่อยากรู้จักสารไฮยาลูรอนให้ลึกซึ้งมากขึ้น Gangdara ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ในบทความนี้ ไม่ว่าจะเป็น ไฮยาลูรอน คืออะไร ? ไฮยาลูรอนแอซิด ทำงานอย่างไร ? สกัดมาจากอะไร ? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ? รวมถึงวิธีใช้ ไฮยาลูรอน HA อย่างปลอดภัย
คลิกอ่านหัวข้อ ไฮยาลูรอน
สารไฮยาลูรอน คืออะไร ?
ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) หรือ กรดไฮยาลูรอน คือสารธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นเองได้ อยู่ในชั้นผิวหนังแท้ ทำหน้าที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่น เหมือนเป็น “ฟองน้ำ” ที่กักเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิว แต่เมื่ออายุมากขึ้น (โดยเฉพาะหลังอายุ 20 ปี) ร่างกายจะสร้างสารนี้ได้น้อยลง ทำให้ผิวเหี่ยวและมีริ้วรอย
ปัจจุบัน จึงมีการสังเคราะห์ไฮยาลูรอนขึ้นมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยทดแทนส่วนที่ร่างกายสร้างได้น้อยลง
กระบวนการทำงานของสารไฮยาลูรอนนิค
ไฮยาลูรอนทำงานเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำเข้าไปเก็บไว้ใต้ผิว โดยสามารถใช้ได้ 3 วิธี คือ ไฮยาลูรอนแบบกิน ทา หรือฉีด ซึ่งแต่ละวิธีจะให้ผลลัพธ์และระยะเวลาที่เห็นผลต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าโมเลกุลมีขนาดใหญ่-เล็กแค่ไหน และมีความเข้มข้นมาก-น้อยเพียงใด
เมื่อไฮยาลูรอนที่ใช้เข้าสู่ร่างกาย จะทำหน้าที่แทนไฮยาลูรอนนิคตามธรรมชาติที่ร่างกายผลิตได้น้อยลง ช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น เต่งตึงขึ้น
สารไฮยาลูรอน สกัดมาจากอะไร ? ร่างกายผลิตเองได้ไหม ?
อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า ร่างกายของเราสามารถผลิตไฮยาลูรอนขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและตึงกระชับ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะผลิตสารนี้ได้น้อยลง จึงจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไฮยาลูรอนมาช่วยเสริม
ซึ่งในปัจจุบัน ไฮยาลูรอนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามส่วนใหญ่ จะสกัดมาจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า “สเตรปโตคอคคัส” (Streptococcus) เพราะได้สารที่มีคุณสมบัติคล้ายกับกรดไฮยาลูโรนิกธรรมชาติซึ่งเข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้มากที่สุด และเก็บไว้ได้นาน ต่างจากในอดีตที่เคยสกัดจากหงอนไก่และวุ้นตาวัว ซึ่งเก็บได้ไม่นาน สกัดได้น้อย และมีเอนไซม์ที่ทำให้สารเสื่อมเร็ว จึงเลิกใช้วิธีนี้ไป
ผลข้างเคียงเมื่อร่างกายขาดสารไฮยาลูรอน
เมื่อร่างกายขาดไฮยาลูรอน จะสังเกตเห็นได้จากสภาพผิวที่เริ่มเสื่อมและแก่เร็วขึ้น เพราะผิวไม่สามารถเก็บกักความชุ่มชื้นได้เหมือนเดิม ทำให้เกิดปัญหาผิวหลายอย่าง ดังนี้
- ผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย
- ผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส ขาดความเปล่งปลั่ง
- เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำได้ง่าย
- ผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับและยืดหยุ่น
- รูขุมขนกว้างขึ้น ผิวไม่เรียบเนียน
- เกิดริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า
ประโยชน์ของไฮยาลูรอน นำมาใช้ทำอะไรได้บ้าง ?
ไฮยาลูรอนมีประโยชน์หลัก ๆ 4 ด้าน ดังนี้
1. ช่วยลดริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้น ไฮยาลูรอนช่วยล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิว ทำให้ผิวนุ่มเด้ง อิ่มฟู ดูสุขภาพดี กระจ่างใส และช่วยลดริ้วรอย จึงนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายรูปแบบ เช่น เซรั่ม ครีม และสกินบูสเตอร์
2. ปรับรูปหน้าและเติมเต็มร่องลึก แพทย์ใช้ไฮยาลูรอนฉีดเป็นฟิลเลอร์เพื่อเพิ่มมิติให้ใบหน้า เช่น ฉีดใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก ขมับ แก้ม ปาก คาง และกรอบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสมส่วนขึ้น
3. ช่วยรักษาโรค องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ใช้ไฮยาลูรอนรักษาโรคหลายอย่าง เช่น ข้อเข่าเสื่อม อาการปวดข้อไหล่ กระดูกพรุน ตาแห้ง ต้อกระจก แผลในปาก และแผลไฟไหม้
4. บำรุงร่างกายจากภายใน มีการนำไฮยาลูรอนมาทำเป็นอาหารเสริม เพื่อช่วยทดแทนไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างได้น้อยลง ช่วยบำรุงผิวพรรณ และป้องกันโรคบางชนิด
ไฮยาลูรอน ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร ?
ไฮยาลูรอนช่วยแก้ปัญหาผิวได้โดยการเก็บน้ำไว้ในผิว ทำให้ผิวดูชุ่มชื้นและอิ่มน้ำมากขึ้น ซึ่งช่วยแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ดังนี้
- เพิ่มความชุ่มชื้น – ไฮยาลูรอนทำให้ผิวไม่แห้งและไม่ลอก ช่วยให้ผิวดูนุ่มและไม่ขาดน้ำ
- ลดริ้วรอย – ผิวที่ชุ่มชื้นจากไฮยาลูรอนจะทำให้ริ้วรอยดูจางลง และผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- สร้างเกราะป้องกันผิว – ไฮยาลูรอนช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถป้องกันมลภาวะต่าง ๆ ได้ดี
- ทำให้ผิวดูสดใส – เมื่อผิวชุ่มชื้น สีผิวจะดูสม่ำเสมอและสุขภาพดีมากขึ้น
ถ้าจะให้สรุปง่าย ๆ ก็คือ ไฮยาลูรอนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูสดใสและแข็งแรงขึ้นนั่นเอง
ข้อควรรู้ก่อนฉีด Hyaluronic Acid มีอะไรบ้าง ?
หลังจากที่ได้รู้จักกับไฮยาลูรอนมาพอสมควรแล้ว หลายคนอาจสนใจการฉีดไฮยาลูรอนหรือการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนที่อยากมีผิวเด้ง อ่อนเยาว์ อย่างรวดเร็ว เพราะเห็นผลทันทีหลังฉีด เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ เช่นการกินหรือทา ที่เห็นผลช้ากว่า
แต่ก่อนตัดสินใจฉีด Hyaluronic Acid มีข้อควรรู้ที่สำคัญหลายข้อ เพื่อความปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ที่ดี ไปดูกันว่ามีอะไรที่ควรรู้บ้างก่อนตัดสินใจทำ
1. ทำความรู้จักฟิลเลอร์ (HA)
ในไทย เมื่อพูดถึงการฉีดไฮยาลูรอน จะหมายถึง การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นการฉีดสารเติมเต็มที่ทำจาก Hyaluronic Acid เพื่อรักษาริ้วรอย ร่องลึกบนใบหน้า
โดยฉีดเข้าไปในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพหรือยุบตัวเมื่ออายุมากขึ้น เพื่อช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น อีกทั้งยังช่วยอุ้มน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง รวมถึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
ตำแหน่งที่นิยมฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยแก้ไขใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา พร้อมกับลดเลือนริ้วรอยใต้ตา
- ฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความอวบอิ่ม ให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้นขึ้น พร้อมปรับทรงปากให้ได้ทรงสวย มีเสน่ห์
- ฟิลเลอร์ขมับ เติมเต็มบริเวณขมับที่ยุบหรือตอบลงตามอายุ ช่วยให้หน้าสมส่วน มีความละมุนขึ้น
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ลดร่องลึก ทำให้ร่องแก้มดูตื้นขึ้น ช่วยให้หน้าดูเด็กลง สดใสขึ้น
- ฟิลเลอร์หน้าผาก ช่วยเติมเต็มร่องลึกหน้าผากให้ดูเรียบเนียน หรือเสริมหน้าผากให้นูนขึ้น
- ฟิลเลอร์คาง ช่วยปรับคางให้ได้รูป แก้ไขปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม ทำให้หน้าดูเรียว วีเชฟ ดูสมส่วน
- ฟิลเลอร์จมูก ช่วยปรับสันจมูกให้ดูโด่งขึ้นได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด
2. ข้อดี – ข้อจำกัด การใช้ไฮยาลูรอนเติมเต็มผิว
ข้อดี : เป็นวิธีที่ปลอดภัย ให้ผลเร็วในการเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้า สารไฮยาลูรอนที่ใช้สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ต้องพักฟื้น และหากไม่พอใจก็สามารถฉีดสลายออกได้ ที่สำคัญคือมีฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนหลายยี่ห้อหลายรุ่น ให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม
ข้อจำกัด : ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ และมีความเสี่ยงหากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเกิดก้อนใต้ผิว
และที่หลายคนอาจสงสัยว่า ฟิลเลอร์ อันตรายไหม คำตอบคือ การฉีดฟิลเลอร์ที่อันตรายที่สุดคือการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือฟิลเลอร์เน่าได้
3. ข้อห้ามหลังฉีด Filler ไฮยาลูรอน
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน มีข้อปฏิบัติหลังฉีด Filler ที่สำคัญและควรระวังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน โดยในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการกระทำดังนี้
- ไม่นวดหรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่
- ไม่แต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า เพื่อลดโอกาสการระคายเคืองและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
- ไม่อาบน้ำร้อน หรือแช่น้ำร้อน เพราะอาจทำให้บริเวณที่ฉีดบวมมากขึ้นและอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าเดิม
- ไม่ออกกำลังกายหนัก ๆ เพื่อลดการสูบฉีดของเลือดและลดการบวม
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้บวมและช้ำมากขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อกระบวนการฟื้นฟูของผิว
- ไม่ทานอาหารรสจัด หรือของทอด เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการระคายเคืองต่อผิว
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อน เพราะอาจทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ระคายเคืองได้ง่ายขึ้น
- ไม่นอนคว่ำ เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของฟิลเลอร์
4. วิธีใช้ไฮยาลูรอน HA ให้ปลอดภัย
ไฮยาลูรอนเป็นสารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความอ่อนเยาว์ให้ผิว แม้จะเป็นสารที่ร่างกายสร้างเองได้และค่อนข้างปลอดภัย แต่เมื่อนำมาใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทา กิน หรือฉีด ก็ควรใช้อย่างระมัดระวังและถูกวิธี โดยเฉพาะการฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนที่ต้องเลือกคลินิกและแพทย์ที่ไว้ใจได้
วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย
- เลือกคลินิกที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
- มีแพทย์ประสบการณ์สูงด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยตรง และมีใบประกอบวิชาชีพ
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน มีเลข อย. ชัดเจน ตรวจสอบได้
- มีประวัติการฉีดฟิลเลอร์ที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวจากลูกค้าจริง
- มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่สะอาด ได้มาตรฐาน
- มีการอธิบายขั้นตอน ข้อควรระวัง และการดูแล ก่อน-หลังทำ อย่างละเอียด
- มีระบบการดูแลและติดตามผลหลังการทำ
- สามารถติดต่อแพทย์ได้โดยตรงหากมีปัญหาหลังทำ
ไฮยาลูรอนแบบกิน ปลอดภัยไหม เห็นผลหรือไม่ ?
ไฮยาลูรอนแบบกินส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดเม็ด โดยแต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นต่างกัน จากงานวิจัยพบว่า การกินไฮยาลูรอนขนาด 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 1 เดือน สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและเนียนนุ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ในผู้ป่วยโรคข้อกระดูกอักเสบ โดยกินขนาด 80-200 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวเข่า แต่การใช้เพื่อรักษาโรคนั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ผลข้างเคียงของการใช้ไฮยาลูรอนแบบไม่เหมาะสม
การใช้ไฮยาลูรอนไม่ว่าจะฉีด ทา หรือกิน จำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การฉีดไฮยาลูรอนใต้ตา โดยปกติใช้เพียง 2-4 CC ก็เห็นผลชัดเจนแล้ว หรือถ้าร่องตาไม่ลึกมาก แค่ข้างละ 1 CC ก็พอ
เพราะถ้าฉีดมากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ใต้ตาเป็นก้อน บวม ย้อย หรือเห็นเป็นถุงใต้ตา จนต้องกลับไปฉีดสลายฟิลเลอร์ในภายหลัง
ดังนั้น ก่อนฉีดไฮยาลูรอน ต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง รู้เทคนิคการฉีดอย่างถูกต้อง ประเมินจำนวนซีซีเหมาะสม และใช้ไฮยาลูรอน (filler) ของแท้ในการฉีดเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย
สรุปเรื่องสารไฮยาลูรอนเติมเต็มผิว
ไฮยาลูรอนเป็นสารสำคัญที่มีประโยชน์มากสำหรับผิว เพราะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่น ทำให้ผิวเต่งตึง ไร้ริ้วรอย และดูอ่อนเยาว์ แต่พอเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะสร้างได้น้อยลง ทำให้ผิวเหี่ยว ไม่กระชับ จึงมีการนำไฮยาลูรอนมาใช้เสริมในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งทา กิน และฉีด
โดยการฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและชัดเจนที่สุด แต่ต้องทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน และฉีดในปริมาณที่เหมาะสม จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยและปลอดภัย